“เร่ว” เป็นสมุนไพรชนิดหนึ่งจำพวกขิงข่าที่มีการใช้กันมานานในประเทศไทย มีสรรพคุณมากมาย เช่น บำรุงตับ ลดความดันโลหิต ลดระดับน้ำตาลในเลือด และที่สำคัญ คือ ฤทธิ์แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ อาหารไม่ย่อย จุกเสียดแน่นท้อง เนื่องจากมีงานวิจัยพบว่าสารสกัดจากเร่วมีน้ำมันหอมระเหย (volatile oil) ซึ่งมีฤทธิ์ช่วยป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหารจากการไปลดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร ช่วยขับลม แก้อาการแน่นจุกเสียด จากการกระตุ้นกล้ามเนื้อเรียบส่วนปลาย นอกจากนี้เร่วยังสามารถบรรเทาอาการท้องเสียและต้านอาเจียนได้ด้วย แต่อย่างไรก็ตามสรรพคุณเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการทำวิจัยในหลอดทดลองและสัตว์ทดลองเท่านั้น ซึ่งการทำวิจัยในคนนั้นยังมีข้อมูลน้อย ดังนั้นประสิทธิภาพของการใช้เร่ว ในคนจึงไม่สามารถบอกผลได้อย่างชัดเจน
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Amomum xanthioides wall.
ชื่อพ้อง : Amomum villosum Lour.
ชื่อวงศ์ : Zingiberaceae
ชื่อท้องถิ่น : ผาลา มะหมากอี้ มะอี้ หมากเน็ง หมากแหน่ง หมากอี้
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : เร่วเป็นพืชล้มลุก มีเหง้าใต้ดิน สูง 1.5-1.8 เมตร มีลักษณะลำต้นและกิ่งเป็นสี่เหลี่ยม ใบเป็นใบเดี่ยวเรียงสลับมีสีเขียวเข้ม ใบเป็นใบเรียวยาว ผิวใบเรียบ รูปขอบขนาน ดอกมีสีขาว ออกดอกเป็นช่อจากยอดที่แทงมาจากเหง้า ดอกจะรวมกันอยู่ในก้านเดียว กลีบดอกจะมีสีชมพูอ่อนแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเทา ผลเร่วน้อยจะมีลักษณะค่อนข้างกลม เป็น 3 พู สีน้ำตาลแดง และจะมีเมล็ดอัดกันอยู่ข้างใน ส่วนผลของเร่วใหญ่จะมีลักษณะเรียวยาวหรือขอบขนานแกมสามเหลี่ยม มีขนสีน้ำตาลแดงปกคลุมอยู่ เป็นผลแห้งแตกได้ และมีเมล็ดกันแน่นกันอยู่ข้าวในเหมือนของเร่วน้อย
1. ฤทธิ์แก้ปวด
จากการศึกษาพบว่าสารสกัดจากเร่วคือสาร bornyl acetate สามารถใช้บรรเทาอาการปวดและต้านการอักเสบในหนูทดลองได้3,4 ในปัจจุบันจึงมีการใช้เร่วในการช่วยลดอาการปวดต่างๆ เช่นอาการปวดท้องในเด็ก
2. ระบบทางเดินอาหาร
ในปัจจุบันมีการใช้ลูกเร่ว (sharen) ในการรักษาโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารต่างๆมากมาย เช่น รักษาแผลในกระเพาะอาหาร รักษาท้องเสียเรื้อรัง เป็นต้น เนื่องจากมีการศึกษาพบว่าสารสกัดจากเร่ว คือ flavonoid, monoterpenes มีฤทธิ์ช่วยลดการเกิดกระเพาะอาหารอักเสบจากการไปยับยั้งการหลั่งกรด ช่วยขับลมจากการกระตุ้นการเนื้อเรียบส่วนปลาย นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์ช่วยย่อยอาหารและต้านอาเจียนได้อีกด้วย1
3. ตับ
สารสกัดจากเร่วมีคุณสมบัติในการปกป้องเนื้อเยื่อตับ โดยการไปช่วยต้านปฏิกิริยาออกซิเดชัน ส่งผลให้ลดการสร้างสารอนุมูลอิสระ นอกจากนี้ยังช่วยลดการอักเสบหรือการเกิดพังผืดที่ตับ ซึ่งช่วยลดการเกิดโรคตับแข็งได้ โดยกลไกการออกฤทธิ์คาดว่าน่าจะเกิดจากการไปยับยั้งการเพิ่มขึ้นของสาร pro-fibrogenic cytokines ซึ่งเป็นสารที่หลั่งออกมาเวลาตับเกิดการบาดเจ็บ ทำให้การเกิดพังผืดที่ตับลดลง6,7
4. ฤทธิ์อื่นๆ
ฤทธิ์ของสารสกัดจากเร่วนอกจากจะมีฤทธิ์ดังที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ยังมีฤทธิ์ในการช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียต่างๆ ต้านสารอนุมูลอิสระอีก ลดความดันโลหิต รวมถึงลดระดับน้ำตาลในเลือดอีกด้วย5
แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ และอาการแน่นจุกเสียด
ส่วนที่นำมาใช้ :
ราก – แก้ไอ แก้หืด แก้ไข้
เหง้า – บดพอกแผล ใช้ฆ่าเชื้อ แก้โรคประดง แก้ผื่นคันตามผิวหนัง
ต้น – แก้คลื่นเหียน แก้ไข้ แก้ดีพิการ
ใบ – แก้สะอึก ขับปัสสาวะ แก้โรคเกี่ยวกับไขมัน ขับลม
ดอก – แก้ไข้ แก้ระดูขาว แก้ริดสีดวง แก้หืดไอ แก้เสมหะ แก้เม็ดผื่นคันคล้ายผด
ผล – แก้ริดสีดวงทวาร แก้หืดไอ แก้เสมหะ บำรุงธาตุ แก้กระหายน้ำ
เมล็ด – แก้คลื่นเหียน อาเจียน ขับน้ำนมหลังคลอดบุตร ขับเสมหะ แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ แก้ความดันโลหิตต่ำ ใช้เป็นเครื่องเทศแต่งกลิ่น2
จากการศึกษาการเกิดพิษเฉียบพลันเมื่อให้สารสกัดจากเร่ว (sharen) ในขนาด 25 กรัมต่อกิโลกรัมในหนูทดลองเป็นเวลา 3 วัน พบว่าไม่เกิดอาการพิษหรือการตายขึ้น นอกจากนี้มีการศึกษาเมื่อสารสกัดจากเร่วในขนาด 1.62 กรัมต่อกิโลกรัมในหนูทดลอง เป็นเวลา 30 วันก็พบว่าไม่เกิดการเปลี่ยนของการทำงานไตและตับเช่นเดียวกัน แต่เมื่อศึกษาการเกิดพิษเรื้อรัง เมื่อให้สารสกัดจากเร่วในขนาด 1.9 และ 3.8 กรัมต่อกิโลกรัมในหนูทดลองเป็นเวลา 3 เดือน พบว่าหนูในกลุ่มที่ได้ขนาด 3.8 กรัมต่อกิโลกรัม จะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางพยาธิวิทยาของม้ามและปอดขึ้น1